สรุปบทที่7 แบบฝึกหัด และ กรณีศึกษา
สรุปบทที่ 7 ระบบสารสนเทศสำหรับสนับสนุนการตัดสินใจด้านการบริหาร
การตัดสินใจเป็นบาบาทสำคัญของผู้บริหารที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจขององค์การ การมีสารสนเทศที่ดี และเครื่องมือในการเข้าถึงข้อมูล รวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลที่ดีนั้น จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถพิจารณาทางเลือกต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว คาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในบทนี้จะกล่าวถึงระบบสนับสนุนการตัดสินใจ โดยเริ่มจากการจัดการกับการตัดสินใจ ระดับการตัดสินใจภายในองค์การ ประเภทของการตัดสินใจ ส่วนประกอบคุณสมบัติของระบบ DSS เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างDSS กับระบบสารสนเทศอื่น
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่ม(Group Decision Support System: GDSS) ส่วนประกอบและประโยชน์ของGDSS รวมถึงการประยุกต์ใช้ระบบ DSS
การจัดการกับการตัดสินใจ
การจัดการ หมายถึง การบริหารอย่างเป็นระบบ เป็นกิจกรรมที่กลุ่มบุคคลร่วมมือกันดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม และ เกิดประโยชน์สูงสุด
กระบวนการจัดการนั้น ประกอบไปด้วย การวางแผน การจัดองค์การ การสั่งการ การควบคุม ดังนั้นผู้บริหารจะต้องนำความรู้ ความเข้าใจด้านการบริหารมาประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสมกับการทำงาน สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันกันสูง ผู้บริหารจะต้องเลือก วิเคราะห์ข้อมูลให้ได้สารสนเทศที่ง่ายต่อการเข้าใจ และบริหาร ตลอดจนมองหาโอกาส และวางกลยุทธ์ได้อย่างชาญฉลาด รวดเร็วเหนือคู่แข่งสามารถนำพาองค์การให้เจริญก้าวหน้าได้
ระดับของการจัดการ แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
1.การจัดการระดับสูง (Upper Level Management)
ผู้บริหารระดับสูงจะเป็นผู้กำหนด วิสัยทัศน์ นโยบาย เป้าหมาย วัตถุประสงค์ รวมถึงการวางกลยุทธ์ และแผนระยะยาวขององค์การ จึงมีความต้องการสารสนเทศจากทั้งภายในองค์การ และสิ่งแวดล้อมภายนอก สารสนเทศภายในแสดงถึง ผลสรุปการดำเนินงานของธุรกิจในองค์การ ส่วนสารสนเทศจากสิ่งแวดล้อมภายนอกก็จะนำมาเป็นปัจจัยร่วมในการบริหาร เช่น อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม หรือส่วนแบ่งทางการตลาดของคู่แข่งขัน
2.การจัดการระดับกลาง (Middle Level Management)
ผู้บริหารระดับกลาง มีหน้าที่ วางแผนยุทธวิธี และประสานงานระหว่างผู้บริหารระดับสูง และผู้บริหารระดับต้น ให้ดำเนินงานอย่างราบรื่น ปฎิบัติงานตามนโยบาย หรือแผนงานที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนด ข้อสรุปและสารสนเทศต่างๆ ของการปฏิบัติงานจะถูกรวบรวมมาทำการวิเคราะห์ วางแนวทางการดำเนินงาน และปรับปรุงเพื่อให้ทำงานบรรลุตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.การจัดการระดับต้น (Lower Level Management)
ผู้บริหารระดับต้นมีหน้าที่ควบคุม ดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน ขั้นตอนการทำงานมีรูปแบบแน่นอน การจัดการระดับนี้ต้องอาศัยข้อมูลจากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดนำมาวิเคราะห์ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ควบคุมให้สามารถดำเนินงานตามแผนระยะสั้นที่วางไว้
การตัดสินใจ (Decision Making) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การใช้ความคิดประกอบเหตุผล = รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหา นำข้อมูลมาวิเคราะห์ตรวจสอบ แยกแยะ กำหนดรายละเอียดของปัญหา
2. การออกแบบ = การพัฒนาวิเคราะห์ทางเลือกที่เป็นไปได้ อาจใช้ตัวแบบเพื่อสร้างทางเลือกในการแก้ปัญหา ออกแบบหนทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
3. การคัดเลือก = เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับปัญหาและสถานการณ์มากที่สุด อาจใช้เครื่องมือมาช่วยวิเคราะห์ คำนวณค่าใช้จ่าย ผลตอบแทนแต่ละแนวทาง เพื่อให้ได้ทางที่ดีที่สุด
4. การนำไปใช้ = เป็นขั้นตอนที่นำผลการตัดสินใจไปปฏิบัติ ติดตามผลการปฏิบัติ เพื่อตรวจสอบว่าดำเนินงานมีประสิทธิภาพ หรือขัดข้องประการใด
ระดับการตัดสินใจภายในองค์การ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
1. การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ (Strategic Decision Making) = เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง ที่จะกำหนดวิสัยทัศน์ กำหนดนโยบาย วางแผนระยะยาวขององค์การให้บรรลุวัตถุประสงค์
2. การตัดสินใจเชิงยุทธวิธี (Tactical Decision Making) = เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง เช่น การจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นให้บรรลุวัตถุประสงค์ จัดสรรงบประมาณ กำหนดการผลิต ยุทธวิธีทางการตลาด วางแผนงบประมาณ เป็นต้น
3.การตัดสินใจเชิงปฏิบัติการ (Operation Decision Making) = เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับปฏิบัติการเช่น การควบคุมสินค้าคงคลัง การตัดสินใจในกระบวนการในการสั่งซื้อ สามารถกำหนดไว้ล่วงหน้า และตัดสินใจได้โดยอัตโนมัติ
ประเภทของการตัดสินใจ มี 3 รูปแบบ คือ
1.การตัดสินใจแบบมีโครงสร้าง (Structured Decision) = เป็นการตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ เป็นตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาที่มีขั้นตอน กระบวนการในการแก้ปัญหาแน่ชัด
2.การตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Decision ) = เป็นการตัดสินใจระดับสูง เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาที่ไม่สามารถกำหนดการตัดสินใจล่วงหน้า
3.การตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง (Semi structured Decision) = เป็นการตัดสินใจในระดับกลาง เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาที่ระบุกระบวนการ วิธีการตัดสินใจไว้ล่วงหน้าบางส่วน อีกส่วนต้องใช้ประสบการณ์และวิจารณญาณของผู้ตัดสินใจ
ความหมายของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
นิยามของระบบการสนับสนุนการตัดสินใจมีหลากหลายแตกต่างกันดังนี้
ลิตเทิล ให้นิยามว่า DSS คือกลุ่มของกระบวนการที่อาศัยตัวแบบในการประมวลข้อมูลและพิจารณาเพื่อช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจ
มัวร์ และ ชาง ให้นิยามของ DSS ว่า เป็นระบบที่เพิ่มความสามารถในการสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเฉพาะกิจ
บอนเช็ค และ คณะ ให้นิยามของ DSS ว่า เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกัน ได้3 องค์ประกอบ คือ ระบบทางภาษา ระบบความรู้ ระบบกระบวนการแก้ปัญหา
คีน ให้นิยามของDSS ว่า คือผลผลิตของกระบวนการพัฒนา ซึ่งผู้ใช้ ผู้สร้างระบบ และตัวระบบเองมีความสามารถในการตอบสนอง และ มีอิทธิพลต่อกัน
ส่วนประกอบของ DSS ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
1. ส่วนจัดการข้อมูล ประกอบด้วยฐานข้อมูล ระบบจัดการข้อมูล ส่วนสอบถามข้อมูล สารบัญข้อมูล ส่วนการดึงข้อมูล และข้อมูลที่ได้รับจากแหล่งต่างๆทั้งจากภายในและภายนอกองค์การ
2. ส่วนจัดการโมเดล ประกอบด้วยฐานแบบจำลอง ระบบจัดการฐานแบบจำลอง ภาษาแบบจำลอง สารบัญแบบจำลอง และส่วนดำเนินการแบบจำลอง
3. ส่วนจัดการโต้ตอบ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับระบบเป็นไปด้วยความสะดวก และง่ายต่อการใช้งาน ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลนำเข้าและรูปแบบจำลองรวมอยู่ในการวิเคราะห์ได้
สำหรับระบบDSS ชั้นสูงจะมีส่วนจัดการองค์ความรู้เป็นอีกส่วนประกอบหนึ่ง
ส่วนจัดการองค์ความรู้ สำหรับระบบ DSS ขั้นสูงมีส่วนที่เรียกว่า ส่วนจัดการองค์ความรู้ เป็นส่วนที่ช่วยแก้ปัญหาที่ต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ระบบDSS ทำงานได้ดีขึ้น
ระบบDSS มีส่วนจัดการองค์ความรู้เป็นองค์ประกอบด้วยจะเรียกว่า
- ระบบสนับสนุนการตัดสินใจชาญฉลาด
- ระบบสนับสนุนการตัดสินใจและผู้เชี่ยวชาญอิงฐานความรู้
- ระบบสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ
- ระบบแอ็คทีฟDSS
- ระบบสนับสนุนการตัดสินใจอิงฐานความรู้
ประเภทของระบบDSS เป็น 2 ประเภท คือ
1.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่ใช้รูปแบบเป็นหลัก ( Model driven DSS) เป็นระบบที่ใช้การจำลองสถานการณ์ และรูปแบบวิเคราะห์ต่างๆ
2.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่ใช้ข้อมูลเป็นหลัก ( Data driven DSS) เป็นระบบที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากแหล่งต่างๆเพื่อนำมาวิเคราะห์
ลักษณะและความสามารถของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
1.สนับสนุนการตัดสินใจทั้งในสถานการณ์แบบกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
2.สนับสนุนการทำงานของผู้บริหารหลายระดับ
3.สนับสนุนการตัดสินใจแบบเฉพาะบุคคลและแบบกลุ่มได้เนื่องจากปัญหามีความแตกต่างกัน
4.สนับสนุนการตัดสินปัญหาที่เกี่ยวพันซึ่งกัน หรือปัญหาแบบต่อเนื่อง
5. สนับสนุนทุกขั้นตอนของกระบวนการตัดสินใจ
6.สนับสนุนการตัดสินใจหลากหลายรูปแบบ
7.สามารถปรับข้อมูลเพื่อจัดการกับเงือนไขต่างๆที่เปลี่ยนแปลงได้
8.สามารถใช้งานได้ง่าย โดยระบบDSS จะเชื่อมต่อระบบภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจ มีภาพประกอบ
9.เพิ่มประสิทธิผลในการตัดสินใจ มีความถูกต้องแม่นยำ รวดเร็ว
10.ผู้ทำการตัดสินใจสามารถควบคุมทุกขั้นตอนในการตัดสินใจแก้ปัญหา
11.ผู้ใช้สามารถปรับปรุงระบบDSSขนาดเล็กได้ด้วยตนเอง
12.มีการใช้แบบจำลองเพื่อช่วยในการวิเคราะห์สถานการณ์ตัดสินใจ
13.สามารถเข้าถึงข้อมูลจากหลายแหล่งได้
ความแตกต่างระหว่างระบบDSS และระบบสารสนเทศอื่น
ระบบDSS เป็นระบบที่จัดทำให้ฝ่ายบริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิเคราะห์ขององค์การ เพื่ออำนวยความสะดวกในการหาข้อมูลทั้งเกี่ยวข้องกับปัญหาแบบกึ่งโครงสร้าง และไม่มีโครงสร้าง สำหรับระบบTPSมีการจัดข้อมูลสำหรับงานประจำวัน มีกฏเกณฑ์การทำงานที่ชัดเจน สำหรับระบบMIS จะให้สารสนเทศเพื่อการควบคุม ตรวจสอบการปฏิบัติงาน สรุปผลการดำเนินงาน
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจส่วนบุคคล
เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของแต่ละบุคคลซึ่งผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขต่างๆได้ด้วยตนเอง
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่ม(Group Decision Support System; GDSS)
เป็นระบบแบบโต้ตอบที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจร่วมกันของกลุ่มบุคคล ระบบนี้ต้องอาศัยเทคโนโลยีด้านการสื่อสารเพื่อเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์
ส่วนประกอบของGDSS มีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้
1. อุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกในการประชุม เช่น โต๊ะ เครื่องเสียง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
2.ชุดคำสั่ง แบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือระดมความคิดทางอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือช่วยกำหนดนโยบาย
3.ฐานแบบจำลองของระบบ ประกอบด้วยแบบจำลองเช่นเดียวกับ ระบบDSS ส่วนบุคคล
4.บุคลากร สมาชิกในกลุ่ม และผู้สนับสนุนด้านต่างๆ
ประโยชน์ของGDSS ช่วยส่งเสริมการทำงานเป็นกลุ่ม ดังนี้
1.เตรียมความพร้อมในการประชุม
2.อำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารระหว่างสมาชิกกลุ่ม
3.ส่งเสริมและสร้างบรรยากาศในการร่วมมือกันระหว่างสมาชิก
4.จัดเตรียมข้อมูลสารสนเทศให้เหมาะสม
5.จัดลำดับความสำคัญของปัญหา
6.อำนวยความสะดวกในการจัดเอกสารประกอบการประชุม
แบบฝึกหัดบทที่ 7
1.อะไรคือความแตกต่างระหว่างความสามารถของผู้บริหารในการเรียกข้อมูลออกมาใช้ตามความต้องการของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ และความสามารถจัดการเรื่องบริหารการตัดสินใจโดยใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
ตอบ เพื่อสนับสนุนการจัดการในระหว่างขั้นตอนตัดสินใจระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่ใช้คือ
รูปแบบจำลองในการวิเคราะห์
ฐานข้อมูลเฉพาะ
ผู้ที่ตัดสินใจหรือผู้ตัดสิน
การติดต่อระหว่างกัน ขั้นตอนการสร้างรูปแบบจำลองในระบบคอมพิวเตอร์เป็นสนับสนุนที่จัดทำขึ้นแบบกึ่งโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้างจากผู้จัดการแต่ละคน
#################################################################################
2.ระบบงานการขาย มีความก้าวหนักว่าแต่ก่อนมาก เมื่อต้องการข้อมูลสำหรับการทำงานในองค์กร เนื่องจากความต้องการเรื่องกลยุทธ์ เทคนิค และการบริหารการตัดสินใจในธุรกิจเปลี่ยนไป ในกศึกษาอธิบายเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง
ตอบ ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารจะต้องอาศัยชั้นเชิงในการบริหารที่เหนือกว่าคู่แข่ง หรืออาศัยความว่องไวในการปรับตัวให้ทันต่อภาวะการแข่งขันที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
##################################################################################
3.มีแนวทางไหนบ้าง ที่นักศึกษาใช้โปรแกรมตารางคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่นำมาช่วยในการตัดสินใจ
ตอบ การทำงานร่วมกันของระบบอินทราเน็ตกลายเป็นสิ่งเข้าอย่างรวดเร็ว ที่ทำให้กล่าวได้ว่า ระบบสารสนเทศของทุกๆคน ( Everyone s Inforomation System ) ซึ้งเป็นแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่สำคัญ
################################################################################
4.ทำไมการใช้ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง จึงขยายไปยังระดับกลาง และขยายไปทั่วหมดทุกแผนกในองค์การ
ตอบ บริหารระดับสูง กำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ นโยบายและการวางแผนภายในองค์กรและรวมของทิศทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการแข่งขันทางธุรกิจ
บริหารระดับกลาง กำหนอตารางงบประมาณและนโยบายขั้นตอนการทำงานและเป้าหมายทางธุรกิจสำหรับหน่วยย่อยภายในองค์กร การจัดสรรแหล่งข้อมูลและตรวจดูการทำงานของหน่วยย่อยภายในองค์กร ขั้นตอนการทำงานของทีมงาน ทีมงานโครงการและกลุ่มทำงาน
################################################################################
5.ทำไมเครื่องคอมพิวเตอร์จึงสามารถคิดได้ อธิบายเหตุผล
ตอบ คอมพิวเตอร์คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์อเนกประสงค์ที่ได้สร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือ (tools) สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้านต่างๆๆ ให้ได้ตามต้องการของมนุษย์ เช่น ด้านการศึกษางานวิจัย วิทยาศาสตร์การแพทย์ ฯลฯ
##################################################################################
6.การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในองค์กร ส่วนไหนสำคัญที่สุด บอกเหตุผลที่นักศึกษาเลือก
ตอบ ความเจริญก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์เป็นไปในทุกด้าน ทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์การที่มีพัฒนาการเจริญก้าวหน้า จึงทำให้นักคอมพิวเตอร์ตั้งความหวังที่จะทำให้คอมพิวเตอร์มีความฉลาดและสามารถตัดสินใจเพื่อช่วยทำงานของมนุษย์ได้มากขึ้น โดยเฉพาะวิทยาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นวิทยาการที่จะช่วยให้มนุษย์ใช้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหาต่างๆ ที่สำคัญ เช่นการให้คอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ รู้จักการใช้เหตุผล การเรียนรู้ ตลอดจนการสร้างหุ่นยนต์
#################################################################################
7.การผสมผสานระหว่างระบบผู้เชี่ยวชาญและเครือเส้นประสาท จะก้าวหน้าต่ออย่างไรไม่หยุดยั้ง นักศึกษาคาดหวังว่าจะ
เกิดเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่างไรบ้าง
ตอบ ระบบผู้เชี่ยวชาญและเครือข่ายเส้นประสาท ซึ่งสามารถร่วมกันทำงานภายในระบบที่มีการเตรียมการทำงานที่ดีที่สุดของเทคโนโลยี
#################################################################################
8.อะไรคือขอบเขตจำกัด หรืออันตรายที่นักศึกษามองเห็น ในการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ ความจริงเสมือน และตัวแทนสติปัญญา และอะไรที่จะลดขนาดของผลกระทบเหล่านี้ลงได้
ตอบ เป็นการจำลองเหตตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ความจริงเสมือนจิงเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ที่พยายามที่จะสร้างให้เป็นธรรมชาติ ดูเสมือนจริงมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ ที่อาศัยอุปกรณ์ป้อนข้อมูลและส่งข้อมูลที่มีหลากหลายทางความรู้สึก เช่น หูฟังกับเครื่องเล่นวีดีทัศน์ ถุงมือส่งข้อมูลและชุดเสื้อกางเกงกับตัวตรวจจับไฟเบอร์ออฟติคที่ติดไว้ตามร่างกายของคุณเวลาที่คุณเคลื่อนไหว
################################################################################## แหล่งที่มา สุกัญญา
กรณีศึกษา
1. อะไรเป็นมูลค่าทางธุรกิจของการประมวลผลการวิเคราะห์ออนไลน์ของบริษัท Office Depot
ตอบ ค่าลิขสิทธิ์สำหรับใช้ในการโฆษณาส่งเสริมการขาย บริษัท Office Depot
-
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2. บริษัท Office Depot ได้ผลจากการลงทุนสำหรับเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำ OLAP ไปใช้งานอย่างไร
ตอบ บริษัท Office Depot เตรียมผู้จัดหาสินค้าที่มีการทำงานร่วมกันกับการเข้าถึงข้อมูลทางการตลาดในระบบอินทราเน็ตที่ใช้ Wired ของการเชื่อมโยงใน OLAP บริษัทพร้อมที่จะแบ่งส่วนในการทำงานของการขายร่วมกับผู้จัดหาสินค้าหลักอีกสอง2แหล่งทั้งหมดที่เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในการเปลี่ยนแปลงชุดการติดต่อธุรกิจภายใน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
3. บริษัท Office Depot ควรที่จะมีการเตรียมให้ผู้จัดส่งสินค้าผ่านเอ็กซ์ทราเน็ตเพื่อเข้าถึงข้อมูลทางการตลาดหรือไม่ เพราะอะไร
ตอบ ควรเตรียมผู้จัดหาตลาดสินค้าที่มีการทำงานร่วมกับการเข้าถึงข้อมูลทางการตลาดในระบบอินทราเน็ตที่ใช้ Wirfd ของการเชื่อมโยงใน OLAP เพราะ จะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
สรุปบทที่6 แบบฝึกหัดและกรณีศึกษา
บทที่ 6 ระบบสารสนเทศสำหรับการปฎิบัติงานทางธุรกิจ
สรุป บทที่ 6
ระบบสารสนเทศสำหรับการปฎิบัติงานทางธุรกิจ
ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ (Business
Information System) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้น
เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานของธุรกิจให้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ
โดยถูกออกแบบและพัฒนาให้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ทางธุรกิจ
ตลอดจนช่วยส่งเสริมให้ทั้งองค์การสามารถประสานงานและใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในระดับปฏิบัติงานและระดับบริหาร
โดยสามารถจำแนกระบบสารสนเทศตามหน้าที่ทางธุรกิจ ตามหน้าที่ดังต่อไปนี้
ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (Accounting
Information System)
เรียกว่า AIS
จะเป็นระบบที่รวบรวม จัดระบบ และนำเสนอสารสนเทศทางการบัญชีที่ช่วยในการตัดสินใจแก่ผู้ใช้สารสนเทศทั้งภายในและภายนอกองค์การ
โดยระบบสารสนเทศทางบัญชีจะให้ความสำคัญกับสารสนเทศที่สามารถวัดค่าได้
หรือการประมวลผลเชิงปริมาณมากว่าการแก้ปัญหาเชิงคุณภาพ
ระบบสารสนเทศทางด้านการบัญชีจะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
1. ระบบบัญชีทางการเงิน (Financial
Accounting System)
จะเป็นการบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นในรูปตัวเงิน
จัดหมวดหมู่รายการต่าง ๆ สรุปผลและตีความหมายในงบการเงิน ได้แก่ งบกำไรขาดทุน
งบดุล และงบกระแสเงินสด โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ
นำเสนอสารสนเทศแก้ผู้ใช้และผู้ที่สนในข้อมูลทางการเงินขององค์การ เช่น นักลงทุน
และเจ้าหนี้
2. ระบบบัญชีผู้บริหาร (Managerial
Accounting System)
เป็นการนำเสนอข้อมูลทางการเงินแก่ผู้บริหาร
เพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ระบบบัญชีจะประกอบด้วย บัญชีต้นทุน การงบประมาณ
และการศึกษาระบบ
3. ระบบสารสนเทศด้านการเงิน (Financial
Information System)
ระบบสารสนเทศด้านการเงิน
จะเกี่ยวกับสภาพคล่อง (Liquidity) ในการดำเนินงาน
เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินสดหมุนเวียน
ถ้าธุรกิจขาดเงินทุนอาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นทั้งโดยตรงและอ้อม
โดยที่การจัดการทางการเงินจะมีหน้าที่สำคัญ 3 ประการ
ดังนี้
1. การพยากรณ์ (Forecast)
คือการศึกษาวิเคราะห์ การคาดการณ์
การกำหนดทางเลือก และการวางแผนทางด้านการเงินของธุรกิจ
เพื่อใช้ทรัพยากรทางการเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โดยนักการเงินสามารถใช้หลักการทางสถิติและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มาประยุกต์
การพยากรณ์ทางการเงินจะอาศัยข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์การ
ตลอดจนประสบการณ์ของผู้บริหารในการตัดสินใจ
2. การจัดการด้านการเงิน (Financial Management)
คือการบริหารเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เช่น รายรับและรายจ่าย การหาแหล่งเงินทุนจากภายนอก เพื่อที่จะเพิ่มทุนขององค์การ
โดยวิธีทางการเงิน เช่น การกู้ยืม การออกหุ้น หรือตราสารทางการเงิน
3. การควบคุมทางการเงิน (Financial
Control)
เป็นการติดตามผล ตรวจสอบ
และประเมินความเหมาะสมในการดำเนินงานว่าเป็นไปตามแผนที่กำหนดหรือไม่
ตลอดจนวางแนวทางแก้ไขหรือปรับปรุงให้การดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจมีประสิทธิภาพ
โดยที่การตรวจสอบและการควบคุมทางการเงินของธุรกิจจะจำแนกได้ 2 ประเภท คือ
3.1 การควบคุมภายใน (Internal
Control)
3.2 การควบคุมภายนอก (External
Control)
3. ระบบสารสนเทศด้านการตลาด (Marketing
Information System)
ระบบสารสนเทศทางการตลาด
จะประกอบด้วยระบบหน่อย ซึ่งแบ่งตามหน้าที่รับผิดชอบดังนี้
1. ระบบสารสนเทศสำหรับการขาย
จะประกอบด้วย
1.1
ระบบสารสนเทศสำหรับสนับสนุนการขาย จะรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ
เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของฝ่ายข่าย เพื่อให้การขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลที่ระบบต้องการอาจะเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่จะทำการขาย รูปแบบ ราคา และการโฆษณาต่าง
ๆ
1.2
ระบบสารสนเทศสำหรับวิเคราะห์การขาย
จะรวบรวมสารสนเทศในเรื่องของกำไรหรือขาดทุนของผลิตภัณฑ์ ความสามารถของพนักงานขาย
ยอดขายของแต่ละเขตการขาย รวมทั้งแนวโน้มการเติมโตของสินค้า
1.3
ระบบสารสนเทศสำหรับการวิเคราะห์ลูกค้า จะช่วยในการวิเคราะห์ลูกค้าเพื่อให้ทราบถึงรูปแบบของการซื้อและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
เพื่อธุรกิจจะสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
2. ระบบสารสนเทศสำหรับการวิจัยตลาด
จะประกอบด้วย
2.1
ระบบสารสนเทศสำหรับการวิจัยลูกค้า การวิจัยลูกค้าจะต่างกับการวิเคราะห์ลูกค้าตรงที่ว่าการวิจัยลูกค้าจะมีขอบเขตของการใช้สารสนเทสกว้างกว่าการวิเคราะห์ลูกค้า
โดยการวิจัยลูกค้าจะต้องทราบสารสนเทศที่เกี่ยวกับลูกค้าในด้านสถานะทางการเงิน
การดำเนินธุรกิจ ความพอใจ รสนิยม และพฤติกรรมการบริโภค
2.2 ระบบสารสนเทศสำหรับการวิจัยตลาด
การวิจัยตลาดจะให้ความสำคัญกับการหา
ขนาดของตลาดของแต่ละผลิตภัณฑ์ที่จะนำออกจำหน่วย
ซึ่งอาจจะครอบคลุมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
สารสนเทศที่จำเป็นที่ต้องการของการวิจัยตลาดคือ สภาวะและแนวโน้มทางเศรษฐกิจ
ยอดขายในอดีตของอุตสาหกรรมหรือผลิตภัณฑ์ชนิดเดี่ยวกันในตลาด รวมทั้งภาวะการแข่งขันของผลิตภัณฑ์
3. ระบบสารสนเทศสำหรับการส่งเสริมการขาย
เป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับแผนงานทางด้านการโฆษณาและส่งเสริมการขาย
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการขาย
เพิ่มยอดขายสินค้าและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้สูงขึ้น สารสนเทศที่ต้องการคือ
ยอดขายของสินค้าทุกชนิดในบริษัท
เพื่อให้รู้ว่าสินค้าตัวใดต้องทำการวางแผนการส่งเสริมการขายอย่างไร
4. ระบบสารสนเทศสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการ
เป็นระบบที่วิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ใหม่
ๆ ลักษณะและความต้องการของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของลูกค้าแต่ยังไม่มีตลาด
สารสนเทศที่ต้องการคือ ยอดขายของผลิตภัณฑ์ประเภทเดี่ยวกันในอดีต
5. ระบบสารสนเทศสำหรับการพยากรณ์การขาย
เป็นระบบที่ใช้ในการวางแผนการขาย
แผนการทำไรจากสินค้าหรือบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของบริษัท ซึ่งจะส่งผลไปถึงการวางแผนการผลิต
การวางกำลังคน และงบประมารที่จะใช้เกี่ยวกับการขาย โดยสารสนเทศที่ต้องการคือ
ยอดขายในอดีต สถานะของคู่แข่งขัน สภาวะการณ์ของตลาด และแผนการโฆษณา
6. ระบบสารสนเทศสำหรับการวางแผนกำไร
เป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับการวางแผนกำไรทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของธุรกิจ
โดยสารสนเทศต้องการคือ สารสนเทศจากการวิจัยตลาด ยอดขายในอดีต
สารสนเทศของคู่แข่งขัน การพยากรณ์การขาย และการโฆษณา
7. ระบบสารสนเทศสำหรับการกำหนดราคา
การกำหนดราคาทางการตลาด จะต้องคำนึงถึง
ความต้องการของลูกค้า คู่แข่งขัน กำลังซื้อของลูกค้า โดยปกติแล้วราคาสินค้าจะตั้งราคาจากต้นทุนรวมกับร้อยละของกำไรที่ต้องการ
สารสนเทศที่ต้องการคือ ตัวเลขกำไรของผลิตภัณฑ์ในอดีต
เพื่อทำการปรับปรุงให้ได้สัดส่วนของกำไรที่ต้องการ
8. ระบบสารสนเทศสำหรับการควบคุมค่าใช้จ่าย
การควบคุมค่าใช้จ่าย
สามารถควบคุมได้โดยดูจากรายงานของผลการทำกำไรกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงหรือสาเหตุของการคลาดเคลื่อนของค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการขายรวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น เงินเดือน ค่าโฆษณา
ค่าส่วนแบ่งการขาย
4. ระบบสารสนเทศด้านการผลิตและการดำเนินงาน
(Production and Operations Information System)
ระบบสารสนเทศด้านการผลิตและการดำเนินงาน
จะมีวัตถุประสงค์เพื่อให้
ผู้ผลิตสามารถพยากรณ์ปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า
โดยไม่ให้มีจำนวนมากหรือน้อยจนเกินไปตลอดจนควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการของลูกค้า
โดยมีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม
5. ระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคล (Human Resource Information
System)
หรือที่เรียกว่า HRIS
หรือระบบสารสนเทศสำหรับบริหารงานบุคคล (Personnel
Information System) หรือ PIS
เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาให้สนับสนุนการดำเนินงานด้านทรัพยากรบุคคล
ตั้งแต่การวางแผนการจ้างงาน การพัฒนาและการฝึกอบรม ค่าจ้างเงินเดือน
การดำเนินงานการทางวินัย ช่วยให้การบริหารทรัพยากรบุคคลเกดประสิทธิภาพ
โดยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรบุคคลจะมีดังนี้
1. ข้อมูลตัวบุคลากร
เป็นข้อมูลของสมาชิกแต่ละคนขององค์การ ซึ่งประกอบ ด้วยประวัติ เงินเดือน
และสวัสดิการ
2. ผังองค์การ แสดงโครงสร้างองค์การ การจัดหน่วยงาน และแผนกำลังคน
ซึ่งแสดงทั้งปริมาณและการจัดสรรทรัพยากรบุคคล
3. ข้อมูลจากภายนอก ระบบบริหารทรัพยากรบุคคลมิใช่ระบบปิด
ที่ควบคุมและดูแลสมาชิกภายในองค์การเท่านั้น
แต่จะเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ซึ่งต้องการข้อมูลจากภายนอกองค์การ เช่น การสำรวจเงินเดือน อัตราการว่างงาน ฯลฯ
แหล่งที่มาhttps://mikekomson.wordpress.com/
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6
1. ทำไมแนวโน้มของระบบสารสนเทศ
จึงมีการนำไปสนับสนุนงานธุรกิจหลายด้าน
ตอบ
เพื่อแก้ปัญหาและสร้างโอกาสในธุรกิจและผู้ใช้ต้องมีความเข้าใจพื้นฐานระบบสารสนเทศ
สามารถสนองความต้องการการใช้งานด้านธุรกิจได้
2. ทำไมระบบการตลาดปัจจุบัน
จึงเปลี่ยนมาเป็นการใช้งานบนอินเทอร์เน็ต จงอธิบาย
ตอบ
การตลาดทำหน้าที่สำคัญในการจัดการธุรกิจการค้า
องค์ธุรกิจจะต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น
เพื่อช่วยในการทำงานด้านการตลาดที่สำคัญในอันที่จะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
3. จงยกตัวอย่างของบริษัทที่นำระบบสารสนเทศเข้าไปช่วยทางธุรกิจ
ตอบ บริษัท Gulf
States Paper Corporation
4. ระบบการขายในสำนักงานอัตโนมัติ
มีผลกระทบต่อพนักงานขาย พนักงานฝ่ายบริหารการตลาด
และฝ่ายจัดทำเรื่องการแข่งขันอย่างไร
ตอบ
การเพิ่มจำนวนขึ้นของคอมพิวเตอร์และเครือข่ายทำให้เกิดปัจจัยพื้นฐานสำหรับแรงขับเคลื่อนการขายอัตโนมัติ
ในหลายๆบริษัท ใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
เว็บบราวเซอร์และซอฟแวร์ด้านการจัดการติดต่อการขายเป็นเครื่องมือที่จะเชื่อมต่อกับเว็บไซท์การตลาดบนอินเทอร์เน็ต
เอ็กซ์ทราเน็ตและอินทราเน็ตของบริษัท
5. ระบบอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต
และเอ็กซ์ทราเน็ต สามารถนำมาช่วยในการทำงานร่วมกันในกระบวนการผลิตได้อย่างไร
ตอบ
กระบวนการผลิตเหมือนกับคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยงานวิศวกรรมและการออกแบบ
การควบคุมการผลิต ตารางการผลิต
และการบริหารด้านการจัดหาที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการความร่วมมือ
การเพิ่มในเรื่องการใช้อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต
และเอ็กซ์ทราเน็ตและเครือข่ายอื่นๆเพื่อเชื่อโยงกับสถานีงาน
6. ระบบอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ต
ช่วยสนับสนุนด้านการการจัดการเรื่องทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างไร ยกตัวอย่างมาอย่างละ 3 ตัวอย่าง
ตอบ
อินเทอร์เน็ต เช่น ระบบออนไลน์ของ HRM ได้เกี่ยวข้องกับการจัดหาลูกจ้างผ่านเว็บไซท์ของแผนกจัดหาลูกจ้างของบริษัท
ใช้บริการและฐานข้อมูลของบริษัทจัดหางานบนเว็บ
การประกาศผ่านกลุ่มข่าวบนอินเทอร์เน็ตและสื่อสารกับผู้สมัครงานผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
- อินทราเน็ต เช่น การให้บริการตัวเองของลูกจ้างจะช่วยให้พนักงานได้เห็นรายงานด้านผลประโยชน์และค่าใช้จ่าย
ข้อมูลด้านการจ้างงานและเงินเดือน
สามารถเข้าถึงและปรับปรุงสารสนเทศส่วนบุคคลให้เป็นปัจจุบัน
7. เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ด้านการบัญชี
และการเงินอย่างไร อธิบาย
ตอบ
ระบบคอมพิวเตอร์ด้านการบัญชีจะทำการบันทึกและรายงานการไหลเวียนของเงินทุนภายในองค์กรในเรื่องที่สำคัญในอดีตและผลิตรายการด้านการเงิน
ส่วนระบบสารสนเทศด้านการเงินสนับสนุนผู้จัดการฝ่ายการเงินในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการเงินของบริษัท
เป็นต้น
8. ถ้านักศึกษาเป็นเจ้าของธุรกิจ
เป็นผู้บริหารหรือเป็นผู้ประกอบการทางธุรกิจเอง
นักศึกษาคิดที่จะนำเอาระบบสาระสนเทศมาใช้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงให้เหตุผล
ตอบ ใช้
เพราะระบบสารสนเทศสามารถที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราไปอย่างได้ง่ายขึ้น
สะดวกในการบริหารงานมากขึ้น ยิ่งในเรื่องของระบบสารสนเทศด้านบัญชีที่ช่วยในเรื่องของระบบบัญชีออนไลน์ที่ช่วยในเรื่องของกระบวนการสั่งซื้อ
การควบคุมสินค้าคงคลัง เป็นต้น
แหล่งที่มา Sukanya
กรณีศึกษา
ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (EIS)
ของบริษัทเงินทุน Fidelity
1. ข้อดีและข้อเสียของระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
(EIS) มีอะไรบ้าง
ตอบ
ข้อดีของ EIS คือ
1. ผู้บริหารสามารถรับข้อมูลปฏิบัติการผ่านระบบคอมพิวเตอร์จากระบบฐานข้อมูลได้
2. ช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในตลาดการเงิน
3. การใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์
4. มีการกรองข้อมูลทำให้ประหยัดเวลา
ข้อเสียของ EIS
คือ
1. มีข้อจำกัดในการใช้งาน
2. ยากต่อการประเมินผลประโยชน์ที่ได้จากระบบ
3. ไม่สามารถทำการคำนวณที่ซับซ้อนได้
4. ก่อให้เกิดปัญหาการรักษาความลับของข้อมูล
2. เหตุใดการออกแบบระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
(EIS) จึงเป็นการยากมากสำหรับบริษัทเงินทุน Fidelity
ตอบ
เพราะในการออกแบบระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารนั้น ทำให้บริษัทเงินทุน Fidelity
ต้องบริหารกิจการเงินทุนที่มีมูลค่ามาก
และต้องซื้ออุปกรณ์ที่ทันสมัยในราคาสูงเพื่อคุณภาพที่ดี
3. ท่านคิดว่าระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
(EIS) ของบริษัทเงินทุน Fidelity จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างไร
ตอบ
สามารถช่วยให้การบริการนั้นเป็นไปในทางที่ง่ายมีข้อมูลที่สมบูรณ์ทัน เหตุการณ์
และสามารถปรับตัวการเปลี่ยนแปลงตลอดหุ้นให้รวดเร็วยิ่งขึ้นอันเป็นประโยชน์
ในภาคการบริหารด้านการเงิน
วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
สรุป กรณีศึกษา และแบบฝึกหัดบทที่5
สรุปบสทที่5
อินทราเน็ต
เอ็กซ์ทราเน็ตและอินเทอร์เน็ต
อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายภายในองค์กรที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมือนอินเทอร์เน็ตภายในองค์กร
เพื่อการแบ่งปันสารสนเทศ การติดต่อสื่อสาร ความร่วมมือ
และการสนับสนุนกระบวนการทางธุรกิจ อินทราเน็ตได้รับการป้องกันด้วยมาตรฐานความปลอดภัย
เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
การประยุกต์ใช้อินทราเน็ต
บริษัทต่างๆใช้เทคโนโลยีอินทราเน็ตเพื่อการสืบค้นข้อมูล
เป็นเครื่องมือความร่วมมือ เก็บประวัติส่วนตัวของลูกค้า เชื่อต่อไปยังอินเทอร์เน็ต
และคิดว่าการลงทุนในอินทราเน็ตเป็นเรื่องพื้นฐานเหมือนการติดตั้งโทรศัพท์ให้แกพนักงาน
การสื่อสารและความร่วมมือ
อินทราเน็ตสามารถปรับปรุงและความมือภายในองค์กร
งานสิ่งพิมพ์บนเว็บ มีความง่าย
ความสวยงามน่าสนใจ
ต้นทุนที่ต่ำของการจัดพิมพ์และการเข้าถึงสารสนเทศธุรกิจสื่อประสมภายในผ่านเว็บไซท์อินอินทราเน็ต
การดำเนินธุรกิจและการจัดการ
อินทราเน็ตถูกใช้เป็นฐานงานสำหรับการพัฒนาและนำมาใช้กับโปรแกรมประยุกต์ธุรกิจ
เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจและตัดสินใจด้านการจัดการระหว่างองค์กร
จากอินทราเน็ตของ Sun
ทำให้ได้ความคิดที่ดีสำหรับโปรแกรมประยุกต์และบริการที่ธุรกิจสามารถนำมาให้พนักงานใช้บนอินทราเน็ต
ดังนี้
- การเรียกดู 3 แบบ ได้แก่ การเรียกดูระดับองค์กร
การเรียกดูตามหน้าที่ และ
การเรียกดูตามภูมิศาสตร์
- มีอะไรใหม่ๆ - การเดินทาง
- ห้องสมุดและการศึกษา
- ทรัพยากรมนุษย์และสิทธิประโยชน์
- การตลาดและการขาย
- วิทยาเขตของ Sun
- สารบัญแฟ้มผลิตภัณฑ์
- ชุดบริการ
- สารสนเทศทางวิศวกรรม
- ชุดเครื่องมือก่อสร้าง
ทรัพยากรเทคโนโลยีอินทราเน็ตอินทราเน็ตเป็นเครือข่ายภายในองค์กรที่มีลักษณะเหมือนอินเทอร์เน็ต
ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นไปได้ ดังนั้น
อินทราเน็ตจึงขึ้นอยู่กับความสามารถของเว็บบราวเซอร์ แม่ข่าย
เครือข่ายรับและให้บริการ และฐานข้อมูลสื่อหลายมิติที่สามารถเข้าถึงได้บนอินทราเน็ตและ
WWW
มูลค่าทางธุรกิจของอินทราเน็ต
- การประหยัดต้นทุนงานสิ่งพิมพ์ ช่วยลดการพิมพ์ การส่งไปรษณีย์
และการกระจายต้นทุน
- การประหยัดต้นทุนการอบรมและการพัฒนา
การเข้าถึงสารสนเทศและโปรแกรมประยุกต์จัดพิมพ์เว็บสำหรับอินทราเน็ตที่ง่ายกว่าวิธีการเดิมมาก
บทบาทของเอ็กซ์ทราเน็ต
ธุรกิจยังคงใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตแบบเปิดหรือเอ็กซ์ทราเน็ตอย่างต่อเนื่อง
เพื่อปรับปรุงการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าและหุ้นส่วน ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งขัน
ในการพัฒนาสินค้าและเพิ่มความเป็นหุ้นส่วน
มูลค่าทางธุรกิจของเอ็กซ์ทราเน็ตได้มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ เทคโนโลยีเว็บบราวเซอร์ของเอ็กซ์เน็ต
และเอ็กซ์ทราเน็ตทำให้บริษัทสามารถเสนอบริการเชิงเว็บประเภทใหม่ที่น่าสนใจให้แก่หุ้นส่วนทางธุรกิจ
เป้าหมายของระบบความร่วมมือองค์กร
คือ การสามารถทำงานร่วมกันที่ง่ายขึ้นมีประสิทธิภาพขึ้น ดังนี้
- การติดต่อสื่อสาร แบ่งปันสารสนเทศกับผู้อื่น
- การประสานงาน
ประสานความพยายามในเรื่องงานของแต่ละบุคคลและการใช้ทรัพยากรร่วมกัน
- ความร่วมมือ ทำงานร่วมกันในโครงการร่วมและงานที่ได้รับมอบหมาย
ส่วนประกอบของระบบความร่วมมือองค์กร
เป็นระบบสารสนเทศ ดังนั้น จึงใช้ทรัพยากรฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์
ข้อมูลและครือข่าย เพื่อนสนับสนุนการติดต่อสื่อสาร การประสานงาน
และความร่วมมือระหว่างสมาของทีม
กรุ๊ปแวร์สำหรับความร่วมมือองค์กร กรุ๊ปแวร์
หมายถึง
ซอฟต์แวร์ที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนใช้สารสนเทศร่วมกันกับผู้อื่นและทำงานร่วมกันในหลายๆโครงการ
โดยมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน
โปรแกรมการจัดการติดต่อบนเครือข่ายสำเร็จรูปและไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงโปรแกรมการใช้เอกสารร่วมกัน
เครื่องมือการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์
- ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
เป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นในธุรกิจ
- โทรศัพท์อินเทอร์เน็ตและโทรสาร
เป็นเครื่องมือที่ต้นทุนต่ำและใกล้ที่จะเป็นสื่อสารสากลช่วยในการส่งโทรสาร
รับไปรษณีย์เสียง และนำสู้การสนทนาสองทาง
- งานสิ่งพิมพ์บนเว็บ
เป็นเครื่องมือการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญสำหรับความร่วมมือองค์กร ได้แก่
ซอฟต์แวร์โปรแกรมประยุกต์
เครื่องมือการประชุมอิเล็กทรอนิกส์
ช่วยให้ผู้ใช้ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งปันสารสนเทศทำงานร่วมกันที่ได้รับหมอบหมาย
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม
- การประชุมข้อมูล ผู้ใช้ที่เครื่องลูกข่าย สามารถเรียกดูแก้ไข ปรับปรุง
บันทึกการแก้ไขลงที่กระดาษสีขาว เอกสาร และสิ่งอื่นๆ ที่ใช้ร่วมกัน
- การประชุมเสียง การสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนร่วมผ่านทางโทรศัพท์หรือเครื่องลูกข่ายด้วยซอฟต์แวร์โทรศัพท์อินเทอร์เน็ต
- การประชุมทางวีดีทัศน์ แบบทันทีและการประชุมทางไกลโดยเสียง
ระหว่างผู้ใช้ที่เครื่องลูกข่ายหรือระหว่างผู้มีส่วนร่วมในห้องประชุมที่ต่างสถาบันกัน
รวมการใช้กระดาษสีขาวและการแบ่งปันเอกสาร
- กลุ่มหรือชุมชนสนทนา
เตรียมระบบสารสนเทศเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อกระตุ้นและจัดการสนทนาข้อความแบบออนไลน์ในช่วงเวลาหนึ่งระหว่างสมาชิกกลุ่มที่มีความสนใจพิเศษหรือทีมโครงการ
- ระบบพูดคุย การทำให้ผู้ใช้สองคนหรือมากกว่าบนเครื่องลูกข่ายสามารถสนทนาข้อความแบบออนไลน์ได้แบบทันที
- ระบบการประชุมอิเล็กทรอนิกส์ การใช้ห้องประชุมกับเครื่องลูกข่าย
โดยเครื่องฉายภาพจอภาพขนาดใหญ่ และซอฟต์แวร์ EMS เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร
การให้ความร่วมมือและการตัดสินใจของกลุ่มในระหว่างการประชุมทางธุรกิจ
เครื่องมือการจัดการงานที่ทำร่วมกัน
ช่วยให้คนทำงานได้สำเร็จหรือจัดการกิจกรรมที่ทำงานร่วมกัน
- ปฎิทินและกำหนดการ
การใช้ปฏิทินอิเล็กทรอนิกส์และคุณสมบัติอื่นของกรุ๊ปแวร์เพื่อทำกำหนดการ บอกล่าว
หรือเตือนอัตโนมัติแก่สมาชิกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของทีมและกลุ่มร่วมงานของการประชุม
การนัดหมายและเหตุการณ์อื่นๆ
- งานและการจัดการโครงการ จัดการทีมและกลุ่มร่วมงานโครงการด้วยกำหนดการ
การติดตามและทำแผนภูมิสถานะความสำเร็จของงานภายใต้โครงการ
- ระบบกระแสงาน ช่วยให้คนงานที่มีความรู้เครือข่ายร่วมมือเพื่อทำงานให้สำเร็จและจัดการการไหลของงานที่มีโครงสร้างและการประมวลผลเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ภายในกระบวนการทางธุรกิจ
- การจัดการความรู้
จัดระเบียบและแบ่งปันแบบฟอร์มของสารสนเทศทางธุรกิจที่สร้างภายในองค์กร
รวมทั้งการจัดการโครงการและห้องสมุดเอกสารองค์กร ฐานข้อมูลการสนทนา
ฐานข้อมูลเว็บไซท์สื่อหลายมิติ และฐานความรู้ประเภทอื่นๆ
แหล่งที่มา เสาวภา
แบบฝึกหัดบทที่5
1.
มีธุรกิจอะไรบ้าง ที่นำเข้าระบบอินทราเน็ตเข้าไปช่วยในการเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรของตน
ตอบ บริษัท US West Communications และ Netscape Communications
2.
นักศึกษาเห็นด้วยหรือไม่ ที่มีบางบริษัทนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้
ในการติดต่อกับพนักงานและร้านค้าต่างๆ ด้วยการใช้โทรศัพท์
ตอบ เป็นเครื่องมือที่ต้นทุนต่ำและใกล้ที่จะเป็นการสื่อสารสากลช่วยในการส่งโทรสาร
รับไปรษณีย์เสียงและนำสู่การสนทนาสองทาง
3.
มีอะไรบ้างที่เป็นข้อจำกัดในการนำเข้าระบบอินทราเน็ตมาใช้ในธุรกิจปัจจุบัน
ตอบ เทคโนโลยีใหม่ที่ค่อยเป็นค่อยไป
ขาดคุณสมบัติในเรื่องความปลอดภัย ขาดการจัดการปฏิบัติงาน
การสนับสนุนจากผู้ใช้ต่ำสุด อาจต้องการการยกระดับเครือข่าย
แม่ข่ายไม่สามารถใช้งานร่วมกันระหว่างรุ่นต่างๆได้
ไม่ได้อัตราส่วนกับองค์กรขนาดใหญ่ที่ใช้โปรแกรมประยุกต์เชิงโต้ตอบที่เพิ่มขึ้น
ยากที่จะบำรุงรักษาสารบัญได้ตลอดเวลา ภาพเคลื่อนไหว วีดีทัศน์และเสียงที่ช้า
สารสนเทศที่ไม่ได้กรองอาจจะท่วมผู้ใช้ พนักงานไม่ทุกคนที่จะมีคอมพิวเตอร์
4.
นักศึกษาเห็นด้วยหรือไม่ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้เป็นจำนวนมากที่มีประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์และมีความต้องการที่จะใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกันหรือติดต่อกับบุคคลอื่น
เพราะเหตุใด
ตอบ เห็นด้วย
เพราะในยุคนี้เป็นยุคของโลกไซน์เบอร์ที่ต้องมีการพัฒนาตัวเองทางด้านคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์กันมากขึ้นเพื่อเพิ่มความรู้และตามทันคู่แข่งขันที่ทันสมัยที่มีการแข่งขันสูง
5.
จงยกตัวอย่างของบริษัทที่ใช้อินทราเน็ตให้บริการทางธุรกิจ
ตอบ บริษัท US West Communications
6.
จงยกตัวอย่างของบริษัทที่ใช้เอ็กซ์ทราเน็ตให้บริการทางธุรกิจ
ตอบ บริษัท Nu Skin
Internetional
7.
นักศึกษาเคยใช้การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์(e-mail) หรือการพูดคุยผ่านระบบคอมพิวเตอร์(Chat) หรือการประชุมร่วมกันตัดสินใจหรือไม่
และให้เหตุผลที่จะนำเอาระบบเหล่านี้
มาที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารและการทำงานร่วมกัน จงอธิบาย
ตอบ เคย
เป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับผู้อื่นในธุรกิจ
ส่งสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ของเอกสาร แฟ้มข้อมูลและข้อความสื่อประสม
8.
จงยกตัวอย่างเครื่องมือการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน
ตอบ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ไปรษณีย์เสียง การส่งโทรสาร
งานสิงพิมพ์บนเว็บ
กรณีศึกษา
1.อะไรคือความท้าทายของ US West ในการติดตั้งอินทราเน็ต Global Village และมาได้จากอะไร
ตอบ ความก้าวหน้าและการเจริญเติบโตของอินทราเน็ต อินทราเน็ตสามารถทำให้เข้าใช้อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี World Wide Web เพื่อสนับสนุนการติดต่อสื่อสารการร่วมมือและกระบวนการธุรกิจผ่านเครือข่าย
2.อินทราเน็ตเช่น Global Village ที่ได้รับผลตอบแทนการลงทุนมากกว่า 1,000 เปอร์เซ็นต์ทำได้อย่างไร
ตอบ จากการประหยัดได้หลายล้านในทุกอย่าง จากต้นทุนการพิมพ์ไปจนถึงชั่วโมงการทำงานของพนักงาน เช่น โปรแกรมประยุกต์ ต้นทุน / ประมาณการประหยัด
3.อะไรคือผลประโยชน์ทางธุรกิจอื่นๆของอินทราเน็ตของ US West
ตอบ :การติดต่อสื่อสารและความร่วมมือระหว่างพนักงานที่ง่ายขึ้น
:Global Village ช่วยให้พนักงานทำกระบวนการธุรกิจหลักให้สำเร็จได้รวดเร็วขึ้นและสะดวกสบายมากกว่าระบบเดิม
:อินทราเน็ต US West เป็นต้นทุนที่มีประสิทธิผล
แหล่งที่มา เบญจมาศ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
สรุปงานวิจัย
สรุปงานวิจัย ☕☕☕☕☕☕☕☕☕☕☕☕☕☕☕☕☕☕☕ 1.การพัฒนาการกระบวนการคั่วกาแฟ สรุปผลการวิจัย 1.การการคั่...